วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559

แกงไตปลา

แกงไตปลา  หลาย ๆ คนชอบ  มักกินคู่กับขนมจีนหรือข้าวสวย  มีผักสดแกล้มคู่กัน  กินแล้วต้องน้ำหูน้ำตาไหลถึงจะอร่อย  กินแกงไตปลาแบบไม่เผ็ด  ไม่เข้มข้น  เหมือนไม่ครบเครื่องจริง ๆ
แม่หลิ่มรู้จักแกงไตปลาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วค่ะ  แต่จริง ๆ แล้วแม่ของแม่หลิ่มไม่เคยทำให้กินเลย  แม่จะมีแกงไตปลาจ้าวประจำอยู่ไกลบ้านพอสมควร  เขาจะทำขายทุกวันพุธ  แม่จะให้แม่หลิ่มขี่จักรยานหรือรถมอเตอร์ไซต์ไปซื้อครั้งละ 2 ถุง  แล้วก็กินกับพ่อแค่ 2 คนเท่านั้น  เพราะมันเผ็ดมากและข้นมาก ๆ  สีออกคล้ำ ๆ มากด้วย  เวลาที่แม่กินแกงไตปลาทีไรจะทำหัวไชโป๊วผัดไข่เพื่อกินคู่กัน
ภาคใต้เขามีแกงไตปลาหลากหลายแบบ  แบบไม่ใส่กะทิ  แบบใส่กะทิ  แบบไม่ใส่ผัก
แม่หลิ่มทำแกงไตปลากินเองหลายครั้งแล้ว  ก็หาอ่านจากเน็ตประกอบกับคิดเอาเองบ้างประกอบกันนะคะ

เตรียมของ สำหรับต้มน้ำไตปลา
ไตปลา 1 ขวด
น้ำสะอาด 1+1/2 ถ้วย
ตะไคร้ 2 ต้น
ข่า 3 แว่น
ใบมะกรูด 3-4 ใบ
สำหรับแกง
ปลาทูสด 5-6 ตัว
น้ำไตปลาที่ต้มและกรองแล้วแบ่งมาครึ่งหนึ่ง
น้ำพริกแกงไตปลา 80-100 กรัม
หน่อไม้ไร่ 4-5 หน่อ
ฟักทองหั่นชิ้นขนาดพอคำ 20 ชิ้น
ถั่วฝักยาว 5 ฝัก
มะเขือเปาะ 5-6 ลูก
ใบมะกรูด 4-5 ใบน้ำสะอาด2 1/2 – 3 ถ้วย

ขั้นตอนการทำ
1.ควักเหงือก  ไส้และพุงปลาทูสดออก  ล้างน้ำ 2 ครั้ง  พักให้สะเด็ดน้ำ  นำไปย่างให้สุกและแห้งพอประมาณ  คือให้แห้งมากกว่าที่กินกับน้ำปลาพริกขี้หนู  แต่ไม่แห้งกรอบ  พักให้อุ่น  สามารถใช้ปลาอื่นแทนได้  เช่น  ปลาน้ำดอกไม้  ปลาโอ
2.แกะเอาแต่เนื้อปลาทู  เอาก้างทิ้งไป  อย่าฝากปลาทูย่างไว้กับแมวนะคะ  เสร็จเขาแน่ค่ะ
3.เตรียมสมุนไพรสำหรับต้มไตปลา  อันได้แก่  ตะไคร้ 2 ต้น  หั่นเฉียง ๆ จากโคนต้นขึ้นมา 2 นิ้ว  ข่าซอยบาง ๆ 3 แว่น  ใบมะกรูดฉีก 3-4 ใบ
4.เตรียมน้ำสะอาด 1+1/2 ถ้วย  สำหรับต้มไตปลา  นำน้ำใส่หม้อ  ตั้งไฟแรงให้น้ำเดือดจัด
5.น้ำเดือดจัดแล้วเทไตปลาลงไปทั้งขวด  และเอาสมุนไพรที่เตรียมไว้ใส่ตามลงไป
6.ตั้งน้ำไตปลาให้เดือดแรง ๆ สักครู่จึงปิดเตาแล้วกรองด้วยกระชอนเอาสมุนไพรออก
7.น้ำไตปลาที่ต้มได้จะเหลือประมาณ 2 ถ้วยเศษ ๆ  แบ่งเป็น 2 ถ้วย  นำ 1 ถ้วยมาแกงได้ 1 หม้อย่อม ๆ  อีกถ้วยเก็บใส่ภาชนะแช่ตู้เย็นใช้ในครั้งต่อไป
8.สำหรับผักที่ใช้ยอดฮิตในการทำแกงไตปลา  เช่น  หน่อไม้  มะเขือเปาะ  ฟักทอง  ถั่วฝักยาว  มันขี้หนู  เม็ดขนุนต้ม  แม่หลิ่มหาเท่าที่หาได้นะคะ  แม่หลิ่มใช้หน่อไม้ไร่หน่อเล็ก ๆ  ปัจจุบันหายากแล้วที่ไม่บรรจุปี๊บ  ที่บ้านไม่นิยมกินหน่อไม้ปี๊บค่ะ  จะมีกลิ่นที่ไม่ชอบ  เวลาซื้อมาแล้วจะต้มน้ำทิ้ง 1 ครั้งก่อน  แล้วจึงนำมาแกง  ไม่เช่นนั้นกลิ่นจะออกมาในน้ำแกง  พาลให้กินไม่หมดหม้อทุกทีไป
9.เตรียมผักที่ต้องการใช้แกงตามชนิดผัก  หน่อไม้แม่หลิ่มหั่นชิ้นพอคำ  ถั่วฝักยาวหั่นท่อนสั้น 1 นิ้ว  ฟักทองปอกเปลือกนอกออกบ้างแล้วหั่นชิ้นพอคำ  มะเขือเปาะล้างและตัดขิ้วทิ้งรอผ่าตอนลงหม้อค่ะ
10.เตรียมใบมะกรูดฉีกที่จะใส่ลงหม้อแกงไว้ด้วยเพิ่มความหอม
11.น้ำไตปลาที่ต้มแล้วแบ่งมาเพียงครึ่งเดียว  แม่หลิ่มตวงได้ 1 ถ้วยเศษ ๆ นะคะ  1 ถ้วยกับอีก 1 ทัพพี  1 ทัพพีประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ
12.นำน้ำพริกแกงไตปลาประมาณ 3/4 ของ 1 ขีดใส่ลงไป  น้ำพริกแกงแต่ละจ้าวเผ็ดไม่เท่ากัน  บางจ้าวใส่ 1 ขีดแล้วกินไม่ได้เลย  มันเผ็ดเกินรับไหว  ค่อย ๆ ใส่ดีกว่าค่ะ  คนให้น้ำแกงไม่เป็นก้อน
13.นำหม้อไปตั้งไฟกลางให้เดือด  เติมน้ำสะอาดลงไปอีก 2 -2 1/2 ถ้วย  ใช้ชิมเอาค่ะว่าเค็มพอแค่ไหน  แต่ค่อย ๆ ใส่ก่อน  ไม่พอเพิ่มทีหลังได้ค่ะ  ถ้าอ่อนน้ำพริกแกงให้ละลายน้ำพริกแกงใส่เพิ่มค่ะ
14.รอน้ำแกงเดือดอีกครั้งจึงใส่เนื้อปลาที่แกะแล้วลงไป  ใช้ทัพพีคนพอเข้ากัน
15.ใส่ผักสุกยากก่อน  ฟักทอง  ตามด้วยหน่อไม้  ทิ้งเวลาไว้ 2 นาที
16.ใส่ถั่วฝักยาวและมะเขือเปาะที่ผ่าแล้วลงไป  ใช้ทัพพีคนพอทั่ว  เร่งไฟให้แรงเพื่อให้ผักสุก  ถ้าน้ำงวดไปจนน้ำแกงรสชาติเค็มจัดให้ใส่น้ำเพิ่มได้ครั้งละตามสมควร
17.ชิมรสชาติอีกครั้ง ถ้าอ่อนเค็มเติมน้ำไตปลาหรือเกลือ  ถ้าชอบแกงไตปลามีรสเปรี้ยวที่ปลายลิ้นอาจใส่ส้มแขกหรือน้ำมะขามเปียกลงไปเล็กน้อยค่ะ
18.ได้รสชาติที่ถูกใจและผักสุกได้ที่จึงใส่ใบมะกรูดแล้วปิดเตา  คนพอทั่ว
19.ตักเสิร์ฟคู่กับผักสดหลายชนิดและกับข้าวแห้ง ๆ อีกอย่างค่ะ  อ้อ !!!!!  แกงไตปลาหากข้ามคืนจะอร่อยกว่าตอนแกงเสร็จใหม่ ๆ ค่ะ

ประโยชน์ของแกงไตปลา

    แกงไตปลามีรสเผ็ด อาหารที่มีรสเผ็ดจะมีคุณสมบัติช่วยให้เจริญอาหาร แกงไตปลาใช้พริกขี้หนูจำนวนมากใส่เป็นเครื่องแกง ซึ่งพริกขี้หนูมีสรรพคุณทางยาช่วยแก้คลื่นไส้อาเจียน แก้โรคบิด เม็ดพริกมีสารที่สามารถทำให้หลอดเลือดขยายตัว เลือดไหลเวียนดีขึ้น แต่ก็มีข้อควรระวังคือ ท่านที่เป็นโรคเกี่ยวกับตาหรือผู้ป่วยอาการเจ็บคอ คอแห้ง ไอ ไม่ควรรับประทานพริกขี้หนูจำนวนมากควรรับประทานจำนวนน้อย